ขึ้นชื่อว่าสงครามคงไม่หนีไม่พ้นความสูญเสียที่เกิดจากความขัดแย้งต่างๆ บางครั้งความขัดแย้งก็เกิดจากความไม่ลงรอยกันทางความคิด ความแตกต่างทางศาสนา การขัดผลประโยชน์ระหว่างประเทศหรือภายในประเทศ บางสงครามนั้นสู้กันไม่ถึงเดือนก็จบ บางสงครามก็ยือเยื้อกันเป็นปี บางครั้งก็เป็นสิบปี ยี่สิบปี หรือสามสิบปีอย่างสงครามหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินเยอรมันเมื่อนานมาแล้ว
Thirty Years' War
สงครามสามสิบปี (Thirty
Years' War) เกิดเมื่อปีค.ศ. 1618 - ค.ศ. 1648 เป็นสงครามที่ก่อความเสียหายไว้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรปสงครามหนึ่ง สงครามส่วนใหญ่ปะทะกันในดินแดนเยอรมนีและเกือบทุกประเทศในยุโรปตอนนั้นต่างเข้าร่วมสงครามนี้ อีกทั้งสงครามสามสิบปียังเป็นหนึ่งในสงครามที่ยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์สมัยใหม่
พื้นที่ประเทศที่เข้าร่วมสงครามและกลายเป็นสมรภูมิ |
สงครามสามสิบปีเป็นสงครามที่ต่อเนื่องมาจากสงครามความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับราชวงศ์ฮับส์บูร์กที่เป็นราชวงศ์ที่ปกครองประเทศสเปนและอิตาลี อีกทั้งยังเป็นราชวงศ์ที่ปกครองในตำแหน่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อชิงการเป็นมหาอำนาจในยุโรปและในที่สุดก็บานปลายไปเป็นสงครามที่ไม่มีเหตุผลใดเกี่ยวข้องกับศาสนา
สงครามสามสิบปี
เป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายที่นิยมจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งนับถือ
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกกับฝ่ายที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ซึ่งสงครามครั้งนี้ได้แบ่งเป็น
4 ช่วงและแต่ละช่วงมีความหมายของสงครามต่างกันออกไป กล่าวคือ ในช่วงแรกของสงคราม
เป็นเรื่องความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างรัฐต่างๆในเยอรมันอย่างชัดเจน แต่ทว่าช่วงที่
2 3 และ 4 ของ
สงครามกลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ 4 เป็นช่วงที่ฝรั่งเศสที่เป็นประเทศที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกเข้าร่วมสงครามในฐานะผู้สนับสนุนฝ่ายโปรเตสแตนท์
จึงจะเห็นได้ว่าสงครามสามสิบปีไม่ได้มีแค่เรื่องความขัดแย้งทางศาสนาแต่ยังโยงใยไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย
ช่วงเวลาที่แต่ละประเทศเข้าร่วมในสงคราม |
สงครามสามสิบปี
เริ่มต้นขึ้นเมื่อ ฝ่ายนิยมคาทอลิก นำโดยพระจักรพรรดิเฟอร์ดินาน ที่ 2
แห่งจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่ง โบฮีเมีย
ซึ่งตัวพระจักรพรรดิทรงเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดอย่างมาก
ถึงขนาดพยายามจะล้มล้างการนับถือนิกายโปรเตสแตนท์ในดินแดนต่างๆของเยอรมัน
ชาวโบฮีเมียเมื่อทราบข่าวก็ไม่พอใจ และก่อการกบฏต่อต้านพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานที่
2 และทูลเชิญ พระเจ้าเฟดเดอริคที่ 5 ซึ่งเป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าเจมส์ที่ 1
แห่งอังกฤษและยังเป็นผู้นำโปรเตสแตนท์ในเวลานั้นด้วย
เพื่อรักษาอำนาจของพระจักรพรรดิ พระองค์จึงทรงนำทัพเข้าปราบปรามและผลของสงครามสามสิบปีช่วงแรกคือ
ชัยชนะของฝ่ายจักรพรรดิ
เนื่องมาจากประเทศที่สนับสนุนฝ่ายโปรเตสแตนท์ยังไม่พร้อมเข้าร่วมสงครามเช่น
เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ ทำให้กำลังรบน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อการปราบปรามจบลง
ชาวโบฮีเมีย 8
แสนคนถูกประหารชีวิตและพระเจ้าเฟดเดอริกถูกถอดยศศักดิ์ทั้งหมดแล้วเนรเทศไปยังแคว้นลอร์เรน
จึงนับได้ว่าเป็นชัยชนะที่สมบูรณ์ของจักรวรรดิ
พระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 2 |
แต่เมื่อชาวโบฮีเมียถูกประหารชีวิตถึง
8
แสนคนทำให้เจ้านครรัฐเยอรมันทางเหนือต้องวิตกกังวลกลัวว่าจะพบกับชะตากรรมเดียวกันจึงไปขอความช่วยเหลือจากเดนมาร์ก
เดนมาร์กเองก็กลัวว่า สหภาพเฮนเซียติกที่เป็นฐานที่มั่นทางการค้าของตนจะถูกอำนาจของจักรวรรดิคุกคามไปด้วย
รวมถึงเดนมาร์กในตอนนั้นมีฐานะเป็นผู้รักษาประตูทางเข้าทะเลบอลติก
จึงตัดสินใจเข้าร่วมสงคราม แต่ก็พ่ายแพ้ยับเยิน
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนั้นสวีเดนจึงตัดสินใจเข้าร่วมสงครามแทนโดยมีพระเจ้ากุสตาวุสอดอลฟุสนำทัพด้วยพระองค์เองและฝรั่งเศสจะคอยสนับสนุนเงินอยู่เบื้องหลัง
ในช่วงที่ สาม ของสงครามนี้ สวีเดนสามารถเอาชนะทัพของฝ่ายจักรวรรดิได้หลายครั้ง
แม้แต่แม่ทัพ
ทิลลี่ผู้เคยปราบปรามโบฮีเมียยังเสียชีวิต จนพระจักรพรรดิต้องเรียก วอลเลนสไตน์
ผู้ที่เคยพิชิตเดนมาร์กได้แล้วครั้งนึงมาเป็นแม่ทัพ และเกิดการรบขึ้นผลของการรบคือ
พระเจ้ากุสตาวุส สิ้นพระชนม์กลางสนามรบ แต่ก็ยังสามารถเอาชนะได้
สวีเดนเมื่อขาดผู้นำทัพจึงต้องถอยทัพกลับ ต่อมา วอลเลนสไตน์ถูกลอบสังหาร
เกิดสนธิสัญญาที่ ปราก จักรพรรดิยอมรับสิทธิของนิกายลูเธอร์ แต่ไม่ยอมรับนิกายคัลแวงที่เจ้านายรัฐเยอรมันทางเหนือนับถือ
ฝรั่งเศสจึงเข้าร่วมการรบด้วยตัวเอง ถือเป็นช่วงสุดท้ายของสงคราม ในช่วงสุดท้ายของสงครามนี้
สเปนที่มีพระเจ้าฟิลิบที่ 4 ซึ่งเป็นพระญาติทางพระจักรพรรดิเฟอร์ดินาน
ที่ 2 เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายจักรวรรดิด้วย
ในช่วงแรกฝรั่งเศสเสียเปรียบ
แต่เมื่อในสเปนเกิดกบฏและพันธมิตรของฝรั่งเศสได้แก่ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ซาวอย
และเจ้านครรัฐที่นับถือนิกายโปรเตสแตนท์ต่างๆของเยอรมันและเดนมาร์ก เข้าร่วม
สงครามด้วยทำให้ฝรั่งเศสได้เปรียบยิ่งขึ้น
แต่แล้วเมื่อพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานที่2 สิ้นพระชนม์และพระคาดินัล ริเชอร์ลิเออ
เสียชีวิต ทำให้พระจักรพรรดิเฟอร์ดินาน ที่ 3 ขอทำสัญญาสงบศึก
เกิดสนธิสัญญาแห่งเวสฟาเลียขึ้น
การต่อสู้ส่วนใหญ่ในสงครามสามสิบปีเป็นการต่อสู้โดยกองทัพทหารรับจ้างที่ทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาสู่บริเวณที่มีการต่อสู้
และก่อให้เกิดความอดอยากและโรคระบาดจนส่งผลให้จำนวนประชากรของรัฐต่างๆ ในเยอรมนี, กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำและอิตาลีลดลงไปเป็นจำนวนมาก
อีกทั้งยังก่อให้เกิดการสูญเสียอำนาจในหลายบริเวณ
ความขัดแย้งที่เป็นสาเหตุของการต่อสู้ก็ไม่ได้รับการแก้ไข
นอกจากนี้การที่สงครามมีค่าจ่ายทางการทหารเป็นจำนวนมาก
ส่งผลทำให้รัฐที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ต้องล้มละลายในช่วงท้ายของสงคราม
สงครามสามสิบปียุติลงด้วยสนธิสัญญามึนสเตอร์(Treaty of Münster)ที่เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย
ผลของสงครามครั้งนี้
ประชาชนชีวิตไปมากกว่า 8 ล้านคน
มีการยอมรับสิทธิในการนับถือศาสนาของประชาชนในยุโรปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และยังเป็นสงครามศาสนาครั้งสุดท้ายในยุโรปด้วยสวีเดนได้กลายเป็นมหาอำนาจทางภาคเหนือแทนที่เดนมาร์กระบบศักดินาสวามิภักดิ์สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ
กษัตริย์ขึ้นมาปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างแท้จริงและยังเป็นสัญญาณของการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยเนื่องจากต่อจากนี้ไปจักรพรรดิจะไม่สามารถหาสิทธิใดเข้าไปควบคุมเจ้านายรัฐต่างๆในเยอรมันได้
ทำให้ขั้วอำนาจทางภาคกลางของยุโรปเปลี่ยนไป นอกจากนี้สเปนที่เข้าร่วมสงครามยังต้องสูญเสียเงินทองมหาศาลในการรบกับฝรั่งเศสและการปราบกบฏ
รวมทั้งยังต้องให้เอกราชแก่เนเธอร์แลนด์
ส่งผลให้ฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในยุโรปแทนที่
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์และสเปนทันที
No comments:
Post a Comment